วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ยก “อนามัย” เป็น “โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล” ทั่วประเทศจำนวน 9,810 แห่ง


โดย mootie | วันที่ 28 ตุลาคม 2552
          สถานพยาบาลที่เป็นหน่วยย่อยที่สุดของภาครัฐที่ให้การบริการประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศคือ สถานีอนามัย แม้ว่าในเมืองจะรู้สึกห่างเหินกับสถานีอนามัย แต่ในระดับภูมิภาคแล้ว สถานีอนามัยเป็นมากกว่าสถานพยาบาล
          เพราะวันนี้สถานีอนามัยที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดและครอบคลุมทุกตำบลทั่วประเทศจำนวน 9,810 แห่ง มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 30,000 คน กำลังยกฐานะให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
          การปรับเปลี่ยนดังกล่าวถือว่าเป็นบทบาทที่สำคัญหน้าใหม่ของวงการสาธารณสุขไทย เนื่องจากที่ผ่านมางานซ่อมสุขภาพกับงานสร้างสุขภาพยังแยกส่วนกัน
          แต่ครั้งนี้ถือเป็นการผนึกกำลังด้านการซ่อมสุขภาพนำสร้างสุขภาพ โดยการยกระดับในครั้งนี้นอกจากเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการสูญเสียเวลาของประชาชนที่ต้องมานั่งรอการตรวจรักษาโรคในโรงพยาบาลประจำจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป รวมถึงต้องเดินทางไกลแสนไกลเพื่อไปตรวจวินิจฉัยโรคจากแพทย์ในชั่วเวลาไม่ถึงอึดใจเท่านั้น
          โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยังนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบอื่นๆ ให้ผูป่วยในพื้นที่ทุกแห่งในแผ่นดินไทยสามารถเข้าถึงบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึง รวมถึงการทำงานเชิงรุกที่มีศูนย์รวมอยู่ในพื้นที่ และเน้นให้ประชาชนและองค์กรปกครองท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพให้ประชาชนเข้ารับบริการในพื้นที่ได้สะดวกมากขึ้น
          ทั้งนี้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจะมี 3 ขนาด ตามจำนวนประชากรที่รับผิดชอบ ได้แก่ ขนาดเล็กดูและประชากรไม่เกิน 3,000 คน มีเจ้าหน้าที่ 5 คน ขนาดกลางดูแลประชากรไม่เกิน 6,000 คน มีเจ้าหน้าที่ 7 คน และขนาดใหญ่ดูแลประชากรมากกว่า 6,000 คน มีเจ้าหน้าที่ 9-10
          เรื่องดังกล่าวนับว่าเป็นนโยบายทางการเมืองที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ให้คำมั่นสัญญาต่อประชาคมเรื่องที่ต้องการผลักดันให้ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพและเข้าถึงการรักษาพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือเสียน้อยที่สุด ขณะเดียวกันได้มีการพัฒนางานสร้างเสริมสุขภาพ ให้สองด้านมาบรรจบเพื่อให้เกิดการบูรณาการ เกิดความเป็นเอกภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
          โดยประชาคมที่ภาครัฐได้ผลักดันอย่างเป็นรูปธรรมอีกคือ ได้จัดสรรงบประมาณในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะที่ 2 ของนโยบายไทยเข้มแข็งตั้งแต่ปี 2533-2555 ซึ่งจะมีงบประมาณ 86,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้แบ่งเป็นงบประมาณที่ใช้ในการผลักดันโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจำนวน 14,973 ล้านบาท และยังมีงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อีก รวม 30,877 ล้านบาท รวมแล้วกว่า 50,000 ล้านบาท
          เปลี่ยนโฉมทั้งอาคารสถานที่ เครื่องมือแพทย์ และรถพยาบาลที่ใช้ส่งต่อผู้ป่วย 1,000 คัน ซึ่งในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ จะเกิดโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลขึ้นทั้งหมด 1,001 แห่ง ครอบคลุมในทุกอำเภอที่มีอยู่ 800 กว่าแห่งทั่วประเทศ และภายใน 3 ปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งประเทศ!!!
          แม้ว่าขณะนี้โครงการดังกล่าวในหลายพื้นที่ได้มีการนำร่องและไดผลเป็นอย่างดีสมกับที่หลายฝ่ายรอคอย                   "ก่อนหน้านี้ผมเคยเป็นผู้บริหารชุมชนและเริ่มป่วยเป็นอัมพฤกษ์จนเดินไม่ได้ แต่เมื่อได้รับการรักษาจากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของโครงการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ทำงานเชิงรุก เข้าถึงประชาชนอย่างเต็มที่ ทำให้ขณะนี้หายดี" หนึ่งเสียงของผู้เข้ารับการรักษาจากโครงการโรงพยาบาลสงเสริมสุขภาพตำบลจากโครงการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล นายวิกฤษ กมลสาร ผู้พิการจากบ้านหนองเม็ก จ.กาฬสินธุ์
          ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของโคลงการจะช่วยให้เขาหายดีและมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้แล้ว ยังมีชาวบ้านอีกจำนวนมากที่ได้รับการช่วยเหลือนี้ เปลี่ยนชีวิตใหม่ เช่น จากเดิมที่ป่วยเป็นโรคหัวใจต้องใช้เงินและเวลาในการไปรักษาตัว แต่เมื่อมีการแพทย์เชิงรุกจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนี้ก็ทำให้เพื่อนบ้านที่ป่วยโรคหัวใจคนนั้นกลับมาใช้ชีวิตปกติหายดีเหมือนเกิดใหม่
          "ผมในฐานะที่เป็นชาวบ้านและได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ผมอยากให้มีการกระจายโครงการอย่างทั่วถึง เพราะเป็นโครงการที่เข้าถึงความต้องการของชาวบ้านได้อย่างแท้จริงผมซึ่งเป็นผู้พิการก็ไดรับการดูแลอย่างดีจากโครงการนี้ ผมต้องขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดโครงการดีๆ และทำให้ผมมีกำลังใจในการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น"
          ความในใจของนายวิกฤษ หนึ่งในผู้ที่มีชีวิตเกิดใหม่จากอานิสงส์ผลบุญของโครงกรรดีๆ อย่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนี้ 
1 ตุลาคมนี้ ความหวังเล็กๆ ของผู้ป่วยไทยทุกคนจะมีความหวังขึ้นเช่นเดียวกับคุณวิกฤตอย่างแน่นอน

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์