วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การดูแลผู้ป่วยที่ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ






ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.eldercarethailand.com



เครื่องกระตุ้นหัวใจเป็นอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ทำงานโดยอาศัยแบตเตอรี่ เครื่องนี้จะฝังไว้บริเวณใต้กระดูกไหปลาร้าอาจเป็นด้านซ้ายหรือขวาขึ้นกับความถนัดของคนไข้ ถ้าถนัดช้ายจะใส่ขวา ถนัดขวาจะใส่ซ้าย 
     หลังการผ่าตัดหากไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ผู้ป่วยมักจะกลับบ้านได้ใน 2-3 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ยกเว้นอาการเจ็บบริเวณแผลผ่าตัดในช่วง 2 วันแรกแต่จะค่อยๆดีขึ้นและหายใน 7-10 วันซึ่งเป็นเวลาที่แผลที่ผิวหนังสมานกันดีแล้ว
      
      ในระยะ 2-3 สัปดาห์แรก ควรหลีกเลี่ยงการใช้แขนข้างผ่าตัดฝังเครื่อง ไม่แกว่งแขนวงกว้างๆหรือสูง โดยเฉพาะเร็วๆ เพราะสายขั้วไฟฟ้า (Pacemaker lead) อาจหลุดจากตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้การทำงานของเครื่องขัดข้อง หลัง 3 สัปดาห์ไปแล้วโอกาสที่สายจะเลื่อนหลุดจะลดลงมาก จากปฏิกิริยาของร่างกายที่สร้างพังพืดมากห่อหุ้มและยึดเครื่องและสายไว้แน่น
     หลีกเลี่ยงการถู กด หรือเกา บริเวณแผลและรอบๆแผลเพื่อ หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ ไม่เพียงระยะแรกแต่ต้องตลอดไป รวมทั้งสังเกตบริเวณแผลและรอบๆแผลว่ามีความผิดปกติหรือไม่ เช่น ปวด บวม แดง ร้อน หรือมีน้ำเหลืองไหลผิดปกติ หากสงสัยการติดเชื้อควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
     รับประทานยาตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ แพทย์อาจให้ยา ปฏิชีวนะระยะสั้นๆหลังการผ่าตัด
     หากมีอาการผิดปกติเช่น ใจสั่น หน้ามืดเป็นลม เหนื่อยหอบผิดปกติ สะอึกตลอดเวลา โดยเฉพาะตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ควรรีบพบและปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและตรวจสอบการทำงานของเครื่อง
     มาพบแพทย์ตามนัดเป็นระยะเพื่อ ตรวจติดตามอาการและการทำงานของเครื่อง ครั้งแรก 1-4 สัปดาห์ ครั้งที่สอง  2-3 เดือน หลังจากนั้นทุก 6 เดือน
      หากไม่มีข้อห้ามอื่น ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติใน 2-3 วันหลังผ่าตัด และค่อยๆออกกำลังฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายภายในสัปดาห์แรก แต่ให้จำกัดการเคลื่อนไหวของแขนข้างผ่าตัด หลังการตรวจทดสอบเครื่องครั้งแรก (1-4 สัปดาห์หลังผ่าตัด) ถ้าไม่มีปัญหาใดๆ ผู้ป่วยสามารถออกกำลังเพิ่มมากขึ้น ทำงานอดิเรก กิจกรรมนันทนาการต่างๆ รวมทั้งเพศสัมพันธ์ตามปกติ แต่กีฬาที่ต้องแกว่งแขนแรงๆเร็วเช่น ตีกอล์ฟอาจต้องรอให้พ้นระยะ 2 เดือนไปก่อน ส่วนการอาบน้ำขึ้นกับลักษณะการปิดแผล โดยปกติก็ต้องเลย 5-7 วันไปก่อน หากไม่มีข้อห้ามอื่น ผู้ป่วยสามารถขับรถส่วนตัวได้หลังการตรวจเครื่องครั้งแรก (1-4 สัปดาห์หลังการผ่าตัด) ความกังวลจะค่อยๆลดลงพร้อมกับการประกอบกิจวัตรประจำวันและกิจกรรมต่างๆจะกลับมาเป็นปกติ
     สำหรับการเล่นกีฬา โดยทั่วไปเมื่อพ้นสองถึงสามเดือนหลังการฝังเครื่อง ไม่มีข้อห้ามสำหรับกีฬาชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ต้องคำนึงถึงโรคหัวใจ โรคอื่นๆ และสภาพร่างกายโดยรวมของผู้ป่วยเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่มีโอกาสเกิดการปะทะเช่น มวย หรือแม้แต่ ฟุตบอล บาสเกตบอล การกระแทกบริเวณที่ฝังเครื่องไว้อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนัง หากเกิดการพกช้ำหรือแผลจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อได้

บัตรประจำตัวผู้ป่วย (Pacemaker Identification Card)

     ผู้ป่วยทุกรายที่ได้รับฝังเครื่อง จะได้รับบัตรประจำตัวผู้ป่วยที่ออกโดยบริษัทที่จำหน่ายเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ โดยมีรายละเอียดในบัตรดังนี้
ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อของผู้ป่วย
ชื่อรุ่น เลขประจำเครื่อง (Serial Number) ของเครื่องและสายขั้วไฟฟ้าที่ได้รับฝังในตัวผู้ป่วย
วันที่รับการผ่าตัด
โรงพยาบาลและแพทย์ ที่ผ่าตัดหรือดูแลติดตามผู้ป่วย รวมทั้งเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ

ผู้ป่วยควรพกบัตรติดตัวไว้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเดินทาง เพราะอาจต้องใช้บริการทางการแพทย์ที่อื่น และสำหรับแสดงเพื่อยกเว้นการตรวจด้วยเครื่องตรวจอาวุธหรือโลหะตามสถานที่จำเพาะบางแห่งเช่น สนามบิน 

     การตรวจติดตาม ผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามการทำงานของเครื่องอย่างน้อยทุก 6 เดือน การตรวจแต่ละครั้ง แพทย์จะใช้เครื่องโปรแกรมเมอร์สื่อสารกับเครื่องกระตุ้นหัวใจ ตรวจการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจ  แบต เตอรี่ที่เหลือ  การทำงานของสายและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราเต้นของหัวใจ  และภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งถูกเก็บไว้ เพื่อปรับการทำงานของเครื่องหรือปรับยาเพื่อให้หัวใจทำงานได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
 อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ปกติจะประมาณ 5-10 ปี ขึ้นกับปริมาณพลังงานที่ใช้กระตุ้นในแต่ละครั้ง และความถี่ที่เครื่องต้องส่งพลังงานไฟฟ้าไปกระตุ้น หากตรวจเช็คเครื่องแล้ว พบว่าต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ แสดงว่าแบตเตอรี่หมดอายุจำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนเครื่องกระตุ้นหัวใจใหม่

      ข้อควรระวัง เนื่องจากเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจเป็นอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ สนามแม่เหล็กกำลังสูงอาจมีผลต่อการทำงานของเครื่องได้ ผู้ป่วยจึงควรทำความเข้าใจและหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจรบกวนการทำงานของ เครื่องดังกล่าว

     1. อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านและสำนักงาน ส่วนใหญ่อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านและสำนักงานที่ทำงานปกติจะไม่มีผลรบ กวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจ ผู้ป่วยสามารถใช้งานได้ตามปกติ เช่น เตาไมโครเวฟ เตาอบไฟฟ้า เครื่องบด หั่น ปั่น หรือผสมอาหาร ที่เปิดกระป๋องไฟฟ้า เครื่องอบปิ้งขนมปัง เครื่องล้างจานอัตโนมัติ เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า โทรศัพท์ทั้งชนิดมีและไม่มีสาย ฯลฯ แต่แนะนำให้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ที่มีมอเตอร์อยู่ในตัวอย่างน้อย 15 เซนติเมตร เช่น เครื่องซักผ้า อบผ้า เป็นต้น

อย่างไรก็ตามหากอุปกรณ์เหล่านี้ทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะ ไฟรั่ว อาจมีผลรบกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าให้จังหวะหัวใจได้เมื่อเข้าใกล้หรือสัมผัส

      2. โทรศัพท์มือถือ (Mobile phone) ไม่มีผลต่อเครื่องแต่แนะนำให้ใช้มือและหูด้านตรงข้ามกับที่ฝังเครื่องกระตุ้นหัว ใจเวลาพูดคุยโทรศัพท์ และเมื่อไม่ได้ใช้โทรศัพท์ ก็ไม่ควรพกโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านเดียวกับที่ฝังเครื่อง กระตุ้นหัวใจหรือแขวนไว้กับคอใกล้กับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจน้อยกว่า 15 เซนติเมตรต่อเนื่องนานๆ สำหรับเครื่องที่มีกำลังมากกว่า 3 วัตต์ ให้เพิ่มระยะห่างจากเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าให้จังหวะหัวใจเป็น 30 เซนติเมตร  

      3. อุปกรณ์ที่มีแม่เหล็กในตัว สามารถใช้ได้แต่ให้แม่เหล็กห่างจากเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าให้จังหวะหัวใจมากกว่า 15 เซนติเมตร ตู้ลำโพงขนาดใหญ่มีไว้ใช้ในบ้านได้ แต่ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยยกเพราะทำให้แม่เหล็กเข้าใกล้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจมากเกินไป ที่นอนหรือหมอนที่ฝังแม่เหล็กโดยทั่วไปมักจะหลบได้ยาก และไม่สามารถอยู่ห่างจากเครื่องกระตุ้นไฟ ฟ้าหัวใจโดยเฉพาะเมื่อหลับ จึงไม่แนะนำให้ใช้

      4. สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อุปกรณ์ช่างที่มีกำลังมอเตอร์สูง มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูง เช่น เลื่อยไฟฟ้า เครื่องเชื่อมโลหะ ไม่เข้าใกล้หม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ เครื่องกำเนิดพลังงาน(ไฟฟ้า)ขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือในโรงไฟฟ้า เตาหลอม ไม่เข้าใกล้บริเวณหอและเครื่องส่งในสถานีโทรทัศน์หรือวิทยุ

     5. การตรวจรักษาทางการแพทย์ การตรวจรักษาทางการแพทย์ส่วนใหญ่สามารถทำได้โดยไม่มีผลรบกวนการทำ งานของเครื่องกระตุ้นหัวใจ เช่น
     การตรวจรักษาฟัน การกรอฟัน ถอนฟัน ผ่าตัดฟัน การตรวจเอ็กซ์เรย์  การตรวจด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์  

     การตรวจรักษาด้วยอุปกรณ์บางชนิดอาจมีผลรบกวนการทำงานของเครื่องชั่วคราว แต่สามารถทำได้ภายใต้การดู แลของแพทย์ โดยการปรับตำแหน่งที่วางอุปกรณ์เหล่านั้น หรือปรับโปรแกรมการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจชั่วคราว เมื่อให้การตรวจรักษาด้วยอุปกรณ์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้วจึงปรับโปรมแกรมกลับมาดังเดิม เช่น เครื่องจี้ไฟฟ้าเพื่อห้ามเลือดเวลาผ่าตัด (Electrocautery) เครื่องรักษาด้วยเครื่องกำเนิดความร้อน (Diathermy) เครื่องสลายนิ่ว (Lithotripsy) เครื่องกระตุกช็อกไฟฟ้าจากภายนอก (External defibrillator) การตรวจและรักษาด้วยการใส่สายสวนหัวใจและจี้รักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency ablation) การรักษาด้วยการฉายรังสี (Radiation therapy) การใช้ไฟฟ้ากระตุ้นประสาทผ่านทางผิวหนังเพื่อรักษาเช่นเพื่อลดอาการปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation; TENS) อุปกรณ์ช่วยการได้ยินบางอย่างใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ควรตรวจทดสอบว่ามีการรบกวนการทำงานของเครื่องกระ ตุ้นหัวใจหรือไม่ก่อนให้ใช้ เพราะต้องใช้ในระยะเวลานาน

     สำหรับการตรวจเพื่อให้ได้ภาพโดยใช้คลื่นสะท้อนแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging) ยังเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจอยู่ แม้ว่าเครื่องกระตุ้นหัวใจรุ่นใหม่จะมีความปลอดภัยมากขึ้นจากการรบ กวนโดยการตรวจวิธีนี้ ในรายที่ไม่มีวิธีอื่นจำเป็นต้องใช้วิธีการตรวจพิเศษนี้ควรปรึกษาแพทย์

    การเดินทาง ควรพบและปรึกษาแพทย์ อาจต้องตรวจการทำงานของเครื่องก่อนการเดินทาง ต้องพกบัตรประจำตัวผู้ได้รับการฝังเครื่องด้วยเสมอ แสดงบัตรเมื่อต้องผ่านบริเวณที่มีประตูหรือการใช้อุปกรณ์สำหรับการตรวจหาอาวุธหรือโลหะ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจบริเวณที่มีเครื่องฝังอยู่ (แต่อาจต้องรับการตรวจค้นด้วยมือแทน) โดยทั่วไปการเดินผ่านประตูที่มีเครื่องตรวจอาวุธและโลหะไม่มีผลทำให้การทำงานของเครื่องเสียหน้าที่ ยกเว้นยืนค้างที่ประตูนานๆ อาจมีผลต่อการทำงานของเครื่องได้ เมื่อพ้นประตูไป ก็จะกลับสู่ปกติทันที แต่การเดินผ่านอาจกระตุ้นให้เสียงเครื่องตรวจโลหะดัง การแสดงบัตรจะช่วยให้ได้ความสะดวกในการตรวจค้นและผ่านไปได้รวดเร็วขึ้น ในห้องสมุดและตามห้างสรรพสินค้าต่างๆปัจจุบันจะที่เครื่องตรวจป้องกันการขโมย ผู้ป่วยที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจสามารถเดินผ่านได้โดยไม่ทำให้การทำงานของเครื่องผิดปกติ แต่ไม่ควรยืนค้างระหว่างเครื่องตรวจนานๆ  หากเครื่องตรวจจับขโมยดัง ควรแสดงบัตรประจำตัวของผู้ป่วย ตู้ขายสินค้าอัตโนมัติโดยทั่วไปไม่มีผลรบกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าให้จังหวะหัวใจ ระบบสัญญาณกันขโมยในบ้านทั่วไปไม่มีผลทำให้เครื่องทำงานผิดปกติ และเครื่องกระตุ้นหัวใจก็ไม่กระตุ้นสัญญาณกันขโมยดังแต่อย่างใด

     หากมีโรคประจำตัวอื่นควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลด้วย รวมทั้งเตรียมยาในปริมาณที่เหมาะสม หากเดินทางไกต่างประเทศในระยะเวลานาน อาจมีความจำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์ สรุปการรักษาและยาที่ใช้ เพราะอาจจะต้องใช้บริการทางการแพทย์ต่างแดนหรือซื้อยาเพิ่มเติมซึ่งมักต้องใบสั่งยาจากแพทย์

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เครื่องกระตุ้นหัวใจ


"เครื่องกระตุ้นหัวใจ" รุ่นใหม่ ผ่านเข้าสแกนในอุโมงค์ "เอ็มอาร์ไอ" ได้หายห่วง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.prachachat.net

ก้าวเข้าสู่วัยชรา...นอกจากสังขารที่ร่วงโรยแล้ว อวัยวะต่าง ๆ ก็ยังเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา

แต่มีอวัยวะอย่างหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตอยู่เป็นอย่างยิ่งนั่นคือ "หัวใจ" เพราะถ้าเกิดเหตุกับอวัยวะนี้แล้ว ทุกอย่างก็จบไปพร้อม ๆ กัน


สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ...เวลานี้มีเทคโนโลยีล่าสุดที่เข้ามาช่วยชีวิตผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะหัวใจเต้นช้ากว่าปกติที่สามารถช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจให้เป็นไปตามปกติได้


นั่นคือเครื่องกระตุ้นหัวใจ !


น.พ.ครรชิต ลิขิตธนสมบัติ หน่วยโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีกล่าวว่า โดยปกติหัวใจของคนเราจะเต้นนาทีละ 60-100 ครั้ง แต่ถ้ามีสิ่งเร้ามากระตุ้นก็จะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นได้ อาทิ การออกกำลังกาย


สำหรับคนที่หัวใจเต้นช้าจะมีอัตราการเต้นต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 30-40 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น ส่วนผู้ที่หัวใจเต้นเร็วก็จะมีอัตราการเต้นสูงกว่า 100 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป


ขั้นตอนการรักษาผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นเร็ว


ทางการแพทย์มียารับประทานที่จะช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้อยู่ในภาวะปกติได้ แต่ถ้าเป็นอาการของหัวใจเต้นช้าแล้วจำเป็นต้องใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่จะช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เข้าสู่ภาวะปกติ


"สาเหตุของหัวใจเต้นช้ามาจาก 2 ปัจจัยที่พอจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย คือ 1.แบตเตอรี่หัวใจซึ่งอยู่หัวบนขวาเสื่อม 2.ระบบสายไฟในหัวใจเสื่อม ซึ่งทำให้มีการลัดวงจรของการเต้นของหัวใจ


มีผลให้หัวใจเต้นช้าลง ทำให้ผู้ป่วยมีการหน้ามืด เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ เหนื่อยง่าย และทำให้หัวใจล้มเหลวได้"


วิธีการรักษา


การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจไว้กับผู้ป่วย เครื่องนี้จะมีขนาดใกล้เคียงกับเหรียญ 10 บาท และมีสายร้อยเข้าไปในหัวใจห้องบนและห้องล่างอย่างละ 1 เส้น


ในตัวเครื่องจะมีแบตเตอรี่ที่คอยกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้บีบตัวได้ตามปกติ ซึ่งอายุการใช้งานจะขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ในเครื่องโดยจะมีอายุประมาณ 8-10 ปี


"วิธีการใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ทำด้วยการผ่าตัดฝังเครื่องเข้าไปที่ใต้ผิวหนังบริเวณหัวใจโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ผู้ป่วยใช้เวลาในการพักฟื้นแค่ 2-3 วันก็กลับบ้านได้ และถ้าแบตเตอรี่หมดก็เพียงแค่มาผ่าตัดเปลี่ยนแบตเตอรี่เท่านั้น"


ค่าใช้จ่าย


การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1 แสนบาทขึ้นไป แต่เวลานี้ระบบบัตรประกันสุขภาพสามารถครอบคลุมได้หมด


ระบบประกันสังคมสามารถทำเรื่องขออนุมัติได้เป็นราย ๆ ไป ในปี 2553 ที่ผ่านมามีผู้ป่วยที่ติดตั้งเครื่องนี้ไปแล้ว 1,800 ราย


อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ติดตั้งเครื่องกระตุ้นหัวใจในช่วงที่ผ่านมาจะถูกห้ามทำสแกนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอ็มอาร์ไอ) ซึ่งเป็นเครื่องที่ตรวจโดยใช้สนามแม่เหล็ก เพราะอาจจะส่งผลต่อเครื่องกระตุ้นหัวใจที่ทำงานด้วยวงจรไฟฟ้า อาจจะเสี่ยงเกิดการลัดวงจรภายในตัวเครื่องกระตุ้นหัวใจ ซึ่งจะมีผลต่อชีวิตของผู้ป่วยได้


"ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจหลายพันคน เป็นผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะต้องวินิจฉัยโรคโดยใช้เอ็มอาร์ไอ เช่น โรคมะเร็ง พบว่าผู้ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจกว่า 50-75% จำเป็นต้องได้รับการสแกนเอ็มอาร์ไอ 1 ครั้งในช่วงอายุการใช้งานของเครื่องกระตุ้นหัวใจ"


แต่เวลานี้มีเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับเครื่องกระตุ้นหัวใจรุ่นใหม่ สามารถเข้าเครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอได้เพียงแค่ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ภายในเครื่องกระตุ้นหัวใจใหม่ด้วยการลดจำนวนโลหะในเครื่องลง และยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้น รับรองโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทยเรียบร้อบแล้ว


นี่คือ...อีกหนึ่งนวัตกรรมสำหรับชีวิต !

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

“โรงพยาบาล” ในจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗


ในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลสุขภาพตำบลบ้านโคกพนมดี ต.โคกไทย อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี มีโบราณสถานที่เรียกว่า "อโรคยศาล" ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโบราณสถานพระพุทธบาทคู่ ณ วัดสระมรกต บ้านสระข่อย ต.โคกไทย อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี  รพ.สต.บ้านโคกพนมดีเห็นว่า บทความเรื่อง โรงพยาบาลในจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่7 มีเนื้อหาน่าสนใจ จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อ ณ ที่นี้ให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น  ขอขอบคุณข้อมูลจาก นวพรรณ ภัทรมูล กลุ่มงานวิชาการ  ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรเป็นอย่างยิ่งค่ะ 

ภาพจากThai-tour.com ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อประชาชนมีโรคถึงความหายนะ ตามภาวะ
แห่งกรรมด้วยการสิ้นไปแห่งอายุเพราะบุญพระองค์ผู้เป็นราชา ได้กระทำโคที่สมบูรณ์ทั้งสาม เพื่อประกาศยุคอันประเสริฐ” 

ข้อความข้างต้นนี้ เป็นข้อความส่วนหนึ่งของจารึก ในกลุ่มจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เพื่อบอกถึงความมุ่งหมายในการสร้างสถานพยาบาล หรือ “อโรคยาศาล” (คำๆ นี้ปรากฏอยู่ในจารึกบรรทัดที่ ๗ ด้านที่ ๒ ของจารึกในกลุ่มจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่๗) ซึ่งเมื่อพิจารณาจากรูปแบบและภารกิจของอโรคยาศาลที่ได้ระบุไว้ในจารึกนั้น ก็เทียบได้กับโรงพยาบาลในปัจจุบันนั่นเอง จารึกในกลุ่มจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เท่าที่พบในประเทศไทย ณ ตอนนี้ มีทั้งหมด ๖ หลัก ทั้งนี้ข้อมูลเกี่ยวกับจารึกดังกล่าว ได้รับการรวบรวมและเผยแพร่ทั้งในรูปสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่นในหนังสือ จารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๘) และหนังสือ จารึกในประเทศไทย เล่ม
(กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๙) ตลอดจน ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ที่จัดทาโดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) การที่ได้จัดกลุ่มจารึกเหล่านี้เป็นกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากเนื้อหาที่จารึกนั้นมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกันมาก จะต่างกันบ้างก็แต่จานวนบุคคลและสิ่งของที่ระบุในจารึก อีกทั้งจารึกทุกหลักได้ระบุอย่างชัดเจนถึงพระนามของกษัตริย์พระองค์หนึ่ง คือ ศรีชัยวรมัน ว่าเป็นพระโอรสของพระเจ้าธรณีนทรวรมันที่ ๒ ดังนั้น พระนาม "ศรีชัยวรมัน" ในที่นี้ ก็น่าจะหมายถึง พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ซึ่งครองราชย์ในช่วง พ.. ๑๗๒๔๑๗๖๑

พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (.. ๑๗๒๔๑๗๖๑)
พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสืบเชื้อสายมาจาก ราชวงศ์มหิธรปุระโดยทางพระราชบิดา (พระเจ้าธรณินธรวรมันที่ ๒) ส่วนพระราชมารดานั้นก็
ทรงเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าหรรษวรมันที่ ๓ พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ในปี พ.. ๑๗๒๔ และอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงชัยราชเทวี แต่พระนางสวรรคตเมื่อพระชนม์ยังน้อย พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จึงทรงอภิเษกสมรสกับพระนางอินทรเทวี ซึ่งเป็นพระพี่นางของพระนางชัยราชเทวีอีกครั้งหนึ่ง พระนางอินทรเทวีทรงมีความรู้หลากหลาย ทรงรอบรู้ในปรัชญา และทรงนับถือพระพุทธศาสนามหายาน พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงมีพระเมตตาต่ออาณา ประชาราษฎร์เป็นอย่างยิ่ง ทรงโปรดให้สร้างสิ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์ต่อประชาชนเป็นจานวนมาก ซึ่งการก่อสร้างนี้เอง เป็นเหตุให้สิ้นเปลือง ราชอาณาจักรทรุดโทรมลงในเวลาต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ทรงโปรดให้สร้างสถาน พยาบาล หรือที่เราจะเรียกกันต่อไปนี้ว่าโรง พยาบาลนั้นถึง ๑๐๒ แห่ง ทั่วทั้งราชอาณาจักร เพื่อเป็นที่รักษาคนป่วย อีกทั้งยังพระราชทานข้าวของเครื่องใช้ตลอดจนยารักษาโรคนั้น ทาให้สิ้นเปลืองพระราชทรัพย์ไปเป็นอันมาก

อโรคยาศาลหรือโรงพยาบาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
อโรคยาศาล หรือ โรงพยาบาล ประกอบด้วย ปรางค์ประธาน มีอาคารที่เรียกว่า บรรณาลัย สร้างด้วยศิลาแลง หันหน้าเข้าสู่ตัวปราสาทประธาน ล้อมรอบด้วยกาแพงแก้ว ตาแหน่งของบรรณาลัย มักจะอยู่ค่อนไปที่มุมด้านทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้เสมอ มีซุ้มประตูทางเข้าที่เรียกว่า โคปุระ ทางด้านหน้าเพียงแห่งเดียว ตั้งอยู่ใกล้ๆ จุดกึ่งกลางของกาแพงแก้วด้านทิศตะวันออก บริเวณด้านนอกกาแพงแก้วด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะมีสระน้ารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือที่เรียกว่า บาราย หรือสระน้าศักดิ์สิทธิ์กรุด้วยศิลาแลง

อโรคยาศาล เป็นสถานพยาบาลที่สร้างขึ้นตาม รายทางโบราณของอาณาจักรขอมสมัยพระนคร จะเชื่อมกับปราสาทนครธม และปราสาทหินอื่นๆ ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้แผ่พระราชอานาจไปถึงและสร้างปราสาทหินเอาไว้
โรงพยาบาลในจารึก

ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลคาอ่านคาแปลของ จารึกในกลุ่มจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทั้งหมด ๖ หลัก ได้แก่ จารึกพบที่จังหวัดสุรินทร์ ๓ หลัก คือ จารึกปราสาท (สร. ), จารึกตาเมียนโตจ (สร. ), จารึกสุรินทร์ ๒ (สร. ) จารึกพบที่จังหวัดนครราชสีมา ๑ หลัก คือ จารึกเมืองพิมาย (นม. ๑๗) จารึกพบที่จังหวัดบุรีรัมย์ ๑ หลัก คือ จารึกด่านประคา (บร. ) และจารึกพบที่จังหวัดชัยภูมิ ๑ หลัก คือจารึกวัดกู่บ้านหนองบัว (ชย. ) เมื่อได้พิจารณาและเปรียบเทียบในส่วนของเนื้อหาแล้วพบว่า ทุกหลักมีเนื้อหาและการเรียงลาดับข้อมูลเหมือนกัน กล่าวคือ
จารึกด้านที่ ๑ จะขึ้นต้นด้วยการกล่าว
นมัสการเทพประจาโรงพยาบาล ตามด้วยสรรเสริญพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ และพระเทวี พร้อมกล่าวถึงมูลเหตุที่สร้างโรงพยาบาล” 
จารึกด้านที่ ๒ กล่าวถึงจานวนเจ้าหน้าที่ประจาโรงพยาบาลตลอดจน
หน้าที่ของแต่ละคน
จารึกด้านที่ ๓ กล่าวถึงจานวนสิ่งของเครื่องใช้ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้อุทิศไว้
ข้อแตกต่างของจารึกแต่ละหลักมีเพียงส่วนของ จานวนเจ้าหน้าที่ และจานวนสิ่งของที่ได้รับมาจากพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เท่านั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อตัดข้อแตกต่างปลีกย่อยเหล่านี้ไป ก็พบว่าเนื้อหาจารึกโดยรวมนั้น ได้ระบุถึงส่วนประกอบสาคัญที่ประกอบกันขึ้นเป็นโรงพยาบาลอันมีอยู่ ๓ ส่วน
ด้วยกัน ได้แก่ เทพประจาโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ประจาโรงพยาบาล สิ่งของเครื่องใช้ประกอบการรักษาพยาบาล
- เทพประจาโรงพยาบาล
เทพประจาโรงพยาบาล มี ๓ องค์ด้วยกัน ได้แก่ พระไภสัชครุไวทูรย์ (พระโพธิสัตว์ไภษัชยสุคต) หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระชินะ ถือเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งผู้ประสาทความไม่มีโรคแก่ประชาชน
เทพอีกสององค์เป็นพระชิโนรส ได้แก่ พระศรีสูรยไวโรจนจันทโรจิ และ พระศรีจันทรไวโรจนโรหินีศะ ผู้ขจัดซึ่งโรคของประชาชน
- เจ้าหน้าที่ประจำโรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่ประจำโรงพยาบาลมีหลายตาแหน่ง แต่ละตาแหน่งมีจานวนบุคคลไม่เท่ากันในแต่ละโรงพยาบาล ในที่นี้จึงขอแสดงจานวนไว้คร่าวๆ ดังนี้
() แพทย์ จานวน ๒ คน
() เจ้าหน้าที่ (ชาย) ทาหน้าที่ดูแลทรัพย์สิน
ของโรงพยาบาล ธุรการ หาข้าวเปลือก หาฟืน
และจ่ายยา จานวน ๒ คน
() เจ้าหน้าที่ (ชาย) ทาหน้าที่จัดพลีทาน ทาบัตรจ่ายสลากยา หาฟืนเพื่อต้มยา จานวน ๒ คน
() เจ้าหน้าที่ (ชาย) ทาหน้าที่หุงต้ม ดูแลรักษาและจ่ายน้า หาดอกไม้และหญ้าบูชายัญตลอดจนทาความสะอาดเทวสถาน จานวน ๑ ถึง ๒ คน
() เจ้าหน้าที่ (ชาย) ทาหน้าที่ดูแลรักษาโรง พยาบาล และส่งยาแก่แพทย์  ๑๔ คน
() เจ้าหน้าที่ (คละกันหญิงชาย) ทำหน้าที่ให้ สถิติ จำนวน ๒ ถึง ๓ คน
() เจ้าหน้าที่ (คละกันหญิงชาย) ทำหน้าที่ดูแล
ทั่วไป จำนวน ๔ คน
() เจ้าหน้าที่ (หญิง) ทำหน้าที่โม่ยา จานวน ๒ ถึง ๖ คน
() เจ้าหน้าที่ (หญิง) ทำหน้าที่ตำข้าว จานวน ๒ คน
(๑๐) เจ้าหน้าที่ (คละกันหญิงชาย) ทาหน้าที่ ประกอบพิธีบูชายัญ จานวน ๒ คน
(๑๑) โหราจารย์ จำนวน ๑ คน
ยังมีตำแหน่งผู้ดูแล, ธุรการ และผู้ให้สถิติอีก หลายคน ซึ่งระบุจำนวนไว้ไม่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม จารึกปราสาท และจารึกสุรินทร์ ๒ ได้ระบุไว้ว่า จำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งหมดในโรงพยาบาลมีถึง ๙๘ คน
-สิ่งของเครื่องใช้ประกอบการรักษาพยาบาล
เช่นเดียวกับจำนวนเจ้าหน้าที่ รายการจานวนสิ่ง ของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ได้รับมาไว้ใช้ในโรงพยาบาลนั้นมีจานวนไม่เท่ากันในโรงพยาบาลแต่ละแห่ง จำนวนที่กล่าวถึงในที่นี้จึงเป็นจานวนที่พอจะทราบโดยประมาณ บางรายการไม่ได้ระบุจำนวนไว้ก็มี
() ข้าวสาร ๑ โทรณะ1
() เครื่องพลีทาน
() เครื่องนุ่งห่มที่มีชายสีแดง ๑ ผืน
() เครื่องนุ่งห่มสีขาว ๒ คู่
() ผ้าสีขาว ๖ ผืน
() อาหารโค ๒ ปละ2
() กฤษณา ๓๙ ปละ3
() เทียนขี้ผึ้ง ๓๗ ปละ
() น้าผึ้ง ๒๔ ปรัสถะ4 (หรือ กุทุวะ5?)
(๑๐) น้ำมัน ๑๓ ปรัสถะ
(๑๑) เนยใส ๑๓ ปรัสถะ (หรือ กุทุวะ?)
(๑๒) บุนนาค6 ๒ บาท
............................................................
1 โทรณะ มาจาก โทฺรณ (ภาษาสันสกฤต) หมาย ถึง โทณะ, ทะนาน เครื่องตวงอย่างหนึ่ง
2 ปละ มาจาก ปล (ภาษาสันสกฤต) หมายถึง
หน่วยวัดน้าหนัก เท่ากับ ๔ กรฺษ
3 กฤษณา คือ ส่วนของไม้ซึ่งมีสีดา กลิ่นหอม ใช้ทายาได้
4 ปรัสถะ มาจาก ปฺรสฺถ (ภาษาสันสกฤต) หมายถึง หน่วยวัดปริมาณ, ความจุ
5 กุทุวะ ไม่ทราบความหมาย แต่คาดว่าน่าจะเป็นหน่วยวัดอีกประเภทหนึ่ง
6 บุนนาค เป็นชื่อต้นไม้ขนาดใหญ่ ใบยาวรี ปลายใบเรียวแหลม ดอกสีขาวคล้ายสารภี แต่ใหญ่กว่า กลิ่นหอม ใช้ทายาได้
7 มหาหิงคุ์ เป็นยางของต้นไม้ล้มลุกหลายชนิด มีกลิ่นร้อนฉุนและเหม็น นิยมใช้เป็นยาทาภายนอก
8 สรปะ มาจาก สรฺษป (ภาษาสันสกฤต) หมายถึง หน่วยวัดที่ใช้กับวัตถุที่เบาที่สุด
9 ดีปลี ชื่อไม้เถา มีรากตามข้อของลาต้นเพื่อยึดเกาะ ผลอัดแน่นเป็นช่อ ทุกส่วนมีกลิ่น โดยเฉพาะผลกลิ่นหอมฉุน รสเผ็ดร้อน ใช้เป็นเครื่องเทศและทายาได้
10 ชะเอม แก้วคล้าย : ไม่ทราบความหมายภาษาไทย จึงขอแปลทับศัพท์ ตามรูปศัพท์ "มิตรเทวะ" แปลว่า เทวดาผู้เป็นมิตร แต่ในที่นี้ น่าจะเป็นชื่อเครื่องยาโบราณ จึงไม่ทราบความหมาย
(๑๓) จันทน์เทศ ๒๓ ผล
(๑๔) เกลือ ๑ บาท
(๑๕) ผลกระวานเล็ก ๑ บาท
(๑๖) กายาน ๑ บาท
(๑๗) มหาหิงคุ์7 ๑ บาท
(๑๘) น้าตาลกรวด ๒ ปละ
(๑๙) เหลือบ ๓๕ ตัว
(๒๐) ไม้จันทน์
(๒๑) ยางสนข้น
(๒๒) ดอกไม้ ๑๐๐ ดอก
(๒๓) พริกขี้หนู ๒๓ กุทุวะ
(๒๔) พริกไทย ๒ ปรัสถะ (หรือ สรปะ8?)
(๒๕) พริกไทย ๑.๕ กามือ
(๒๖) น้ากระเทียม ๑ ปละ
(๒๗) เปลือกกระเทียม ๑ ปละ
(๒๘) ดีปลี9ผง ๑๒ บาท
(๒๙) มิตรเทวะ10 ๓ บาท
(๓๐) ใบไม้ ๔๐ ใบ
(๓๑) กิ่งไม้ ๒๘ กิ่ง
(๓๒) ผักทอดยอด ๒ สรปะ
(๓๓) ถั่วฝักยาว ๒ สรปะ
11 ชะเอม แก้วคล้าย : ไม่ทราบความหมายภาษาไทย จึงขอแปลทับศัพท์ ตามรูปศัพท์ "ทารวเฉท" แปลว่า เครื่องตัดไม้ หรือมีดตัดไม้
(๓๔) เทียนไข ๕ ปละ
(๓๕) ขี้ผึ้ง
(๓๖) น้าพุทรา ๑ ปรัสถะ
(๓๗) พุทรา ๑ ลูก
(๓๘) เมล็ดธานี
(๓๙) ผลตาลึง ๑.๕ ผล
(๔๐) ข้าวบาร์ลีย์ ๑ บาท
(๔๑) ผลกระวานใหญ่ ๒ สรปะ
(๔๑) ขิงแห้ง ๒ สรปะ
(๔๒) หญ้ากระด้าง ๑ กามือ
(๔๓) น้าดอกไม้ ๓ กุทุวะ
(๔๔) เปลือกไม้ ๓ ปละ
(๔๔) ภาชนะดีบุก ๙ ใบ
(๔๕) เครื่องแต่งตัวยาวเก้าคืบ ๑๕ คู่
(๔๖) เสื้อผ้ายาวสิบคืบ ๑๒ คู่
(๔๖) ผ้าลายดอก
(๔๗) เสื้อยาว ๓ ตัว
(๔๘) ทารวเฉท11

เอกสารอ้างอิง
ตรงใจ หุตางกูร และนวพรรณ ภัทรมูล. “จารึก ด่านประคา.” ใน ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย, ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ๒๕๔๗ (online). เปิดข้อมูลเมื่อ ๒๕
สิงหาคม ๒๕๕๑